การสื่อสารระหว่างบุคคล

5 เทคนิค “ฟังอย่างตั้งใจ” ที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นทันตาเห็น

Rating:

เชื่อหรือไม่ว่า “การฟัง” คือสุดยอดทักษะการสื่อสารที่คนส่วนใหญ่มองข้าม?

     เรามักจะคิดว่าตัวเอง “กำลังฟังอยู่” ในขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังนำเสนอไอเดีย หรือในขณะที่คนรักกำลังเล่าเรื่องราวที่หนักใจในแต่ละวัน แต่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราทำอาจเป็นแค่ “การได้ยิน” เท่านั้น

      การได้ยินคือการรับรู้เสียงผ่านหู แต่ “การฟังอย่างตั้งใจ” (Active Listening) คือการรับรู้ข้อมูล ความรู้สึก และความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดนั้นๆ มันคือการมอบความสนใจ ใส่ใจ ทั้งหมดของคุณให้แก่คู่สนทนา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่มั่นคง

หากคุณเคยรู้สึกว่า:

  • พูดจบแล้ว แต่คู่สนทนาตอบไม่ตรงคำถาม
  • พยายามอธิบายเรื่องสำคัญ แต่ถูกขัดจังหวะด้วยคำแนะนำทันที
  • ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มักจะบานปลายเพราะ “เข้าใจผิด”

     นั่นเป็นสัญญาณว่าทักษะ Active Listening กำลังขาดหายไป บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 5 เทคนิคที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อเปลี่ยนคุณให้เป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม และทำให้ความสัมพันธ์ของคุณดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจอย่างแน่นอน

1. วาง “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ทุกชนิดลง และ “ตั้งใจฟังคำพูด” ของเขา (Put Down the Devices and the Mind Chatter)

เทคนิคนี้คือพื้นฐานที่สุดแต่สำคัญที่สุด การฟังอย่างตั้งใจต้องเริ่มต้นจากการ กำจัดสิ่งรบกวนภายนอกและภายใน

สิ่งที่ต้องทำ:

  1. วางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: เก็บโทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์  วางปากกาลงเมื่อถึงเวลาที่ต้องมีการสนทนาที่จริงจัง การทำเช่นนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า “คุณสำคัญสำหรับฉัน และฉันกำลังให้ความสนใจคุณอย่างเต็มที่”
  2. หยุด “เตรียมคำตอบ”ของคุณล่วงหน้า : บ่อยครั้งที่เรามักใช้เวลาที่คู่สนทนาพูด คิดล่วงหน้าว่าจะตอบอะไร หรือจะโต้แย้งอย่างไร การคิดแบบนี้ทำให้สมองคุณไม่ได้คิด ประเมินสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่จริง ให้พยายาม “เคลียร์สมอง” ให้โล่ง และโฟกัสที่คำพูดของเขาเท่านั้น

💡 ตัวอย่างสถานการณ์: เพื่อนร่วมงานเข้ามาบอกว่า “โปรเจกต์ A มีปัญหาใหญ่เรื่องการส่งมอบงาน” แทนที่จะคิดในใจว่า “ฉันจะตอบปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรดีนะ?” ให้คุณโฟกัสกับการฟังรายละเอียดของปัญหาที่เขาเล่ามาอย่างเดียวก่อน

2. ใช้ภาษากายเพื่อแสดงความสนใจฟัง (Nonverbal Cues)

คำพูดคิดเป็นเพียง 7% ของการสื่อสารทั้งหมดเท่านั้น ส่วนที่เหลือคือ น้ำเสียงและภาษากาย ภาษากายของคุณบอกคู่สนทนาได้ว่าคุณเปิดใจรับฟังเขามากน้อยแค่ไหน

สิ่งที่ต้องทำ:

  • สบตาอย่างเป็นธรรมชาติ: การสบตา (Eye Contact) ที่เหมาะสมคือประมาณ 60-70% ของเวลาการสนทนา การสบตาทำให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจ และเป็นมิตร แต่การจ้องเขม็งจะทำให้รู้สึกอึดอัด
  • พยักหน้าและทำเสียงตอบรับ: ใช้คำง่ายๆ อย่าง “อืม”, “ครับ/ค่ะ”, หรือพยักหน้าเป็นระยะ เพื่อแสดงว่าคุณยังติดตาม ตั้งใจฟังอยู่ การทำเช่นนี้เป็นการให้กำลังใจให้คู่สนทนาพูดต่อ
  • เปิดลำตัวเข้าหา: หันลำตัว มือ และเท้าเข้าหาคู่สนทนา การกอดอกหรือนั่งไขว้ขาไปในทิศทางอื่นแสดงถึงการปิดกั้นทางอารมณ์ และผู้พูดรู้สึกไม่ปลอดภัย

❌ สิ่งที่ควรเลี่ยงเด็ดขาด: การมองนาฬิกา การลูบท้ายทอยบ่อยๆ หรือการเอื้อมมือไปหยิบสิ่งของอื่นขณะที่เขากำลังพูด เพราะสิ่งเหล่านี้สื่อถึงความเบื่อหน่ายหรือความไม่สนใจ

3. การตอบ หรือสะท้อนกลับเพื่อยืนยันความเข้าใจ (Paraphrasing and Reflecting)

เทคนิคนี้คือการทวนความเข้าใจของคุณกลับไปให้คู่สนทนาฟัง ด้วยคำพูดของคุณเอง

สิ่งที่ต้องทำ:

  • ทวนเนื้อหาหลัก: สรุปประเด็นหลักที่ได้ยินมา แล้วทวนกลับไปเพื่อยืนยันว่าคุณเข้าใจถูกต้องหรือไม่
    • ตัวอย่างประโยค: “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังบอกว่าเราควรเลื่อนกำหนดส่งงานออกไป 3 วัน เพราะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบขาดตลาดใช่ไหมครับ?”
  • สะท้อนความรู้สึก: การฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ฟังเนื้อหาอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง ความรู้สึก ที่คู่สนทนาส่งออกมาด้วย
    • ตัวอย่างประโยค: “ฉันรับรู้ได้ว่าคุณรู้สึกกังวลมากเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้ารายนี้”

👍 ประโยชน์: การตอบ หรือสะท้อนกลับ (Reflecting) ช่วยป้องกันความเข้าใจผิดได้ทันที และที่สำคัญที่สุดคือทำให้คู่สนทนารู้สึกว่า “มีคนเข้าใจความรู้สึกและสิ่งที่ฉันพูดแล้ว” ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเชื่อมโยงทางอารมณ์ ทำให้รู้สึกเป็นพวกเดียวกัน

 

4. ถามคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เขาเล่าต่อ (Open-ended Questions)

เมื่อคุณฟังและสะท้อนกลับแล้ว การใช้คำถามปลายเปิด (Open-ended Questions) จะช่วยให้การสนทนาดำเนินไปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และช่วยให้คู่สนทนาได้สำรวจความคิดของตัวเอง

สิ่งที่ต้องทำ:

  • เน้นคำว่า “อย่างไร” “ทำไม” “อะไรคือ”: คำถามปลายเปิดคือคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ด้วยคำว่า “ใช่” หรือ “ไม่”
  • ตัวอย่างคำถามที่ทรงพลัง:
    • “อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณอยากให้เราพิจารณา?”
    • “คุณรู้สึกอย่างไรกับทางออกนี้ และอยากเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างไร?”
    • “มีอะไรอีกไหมที่คุณคิดว่าฉันควรรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้?”

❌ สิ่งที่ควรเลี่ยง: การถามนำหรือคำถามเชิงชี้นำ เช่น “คุณคิดว่าเราควรทำแบบนี้ใช่ไหม?” เพราะมันจะปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ

 

5. อย่างเพิ่งตัดสิน หรือให้คำแนะนำทันที (Hold the Judgment and Advice)

นี่คือกับดักที่คนส่วนใหญ่ตกอยู่เมื่อพยายามเป็นผู้ฟังที่ดี เรามักจะรีบ ให้คำแนะนำ เพราะเราอยากช่วย แต่หลายครั้งสิ่งที่เขาต้องการคือ แค่คนรับฟัง

สิ่งที่ต้องทำ:

  • ยอมรับมุมมองของเขา: แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดหรือการกระทำของเขา อย่างเพิ่งตัดสินเขา (Non-Judgmental) ให้ทำความเข้าใจเขาก่อนว่า “ทำไมเขาถึงคิด/ทำแบบนั้น”
  • ขออนุญาตให้คำแนะนำ: ก่อนจะเริ่มเสนอทางออก ให้ถามความสมัครใจของคู่สนทนาก่อนเสมอ
    • ตัวอย่างประโยค: “ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ ฉันเข้าใจสถานการณ์แล้ว ตอนนี้คุณต้องการให้ฉันช่วยออกความคิดเห็น หรือต้องการให้ฉันรับฟังต่อไปก่อน?”

🔑 กุญแจสำคัญ: การทำเช่นนี้เป็นการเคารพขอบเขตของคู่สนทนา และทำให้เขารู้สึกว่าเขามีอำนาจในการจัดการปัญหาของตัวเอง เมื่อเขาพร้อมและขอคำแนะนำจากคุณ คำพูดของคุณจะมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากกว่าการยื่นข้อเสนอแนะตั้งแต่ต้น

>>>การฟังคือของขวัญอันล้ำค่า ที่คุณมอบให้กับคู่สนทนาของคุณ

การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ไม่ใช่แค่เทคนิคการสื่อสาร แต่มันคือการแสดงความเคารพและความห่วงใยต่อคู่สนทนาอย่างแท้จริง การลงทุน และเรียนรู้ในการพัฒนาทักษะการฟังนี้จะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้เลย

ลองเลือกหัวข้อ เทคนิคที่ 1:วาง “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ทุกชนิดลง และ “ตั้งใจฟังคำพูด” ของเขา  ไปทดลองใช้ในการสนทนาที่สำคัญครั้งต่อไปของคุณ แล้วสังเกตว่าคู่สนทนาของคุณรู้สึกดีขึ้น และเปิดใจกับคุณมากขึ้นแค่ไหน

         คุณมีเทคนิคการฟังแบบไหนที่ใช้แล้วได้ผลดีบ้าง? หรือเคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองถูกฟังอย่างตั้งใจแล้วรู้สึกดีเป็นพิเศษไหม? แชร์ประสบการณ์ของคุณไว้ในคอมเมนต์เลยนะครับ!

Tags: , , , ,

Comments are closed.