Empower = การมอบอำนาจ คำๆ นี้เป็นคำที่ได้ยินมาช้านาน แต่กลับเป็นคำที่ไปใช้ในการปฏิบัติในการเป็นหัวหน้างานน้อยมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร หัวหน้างานในธุรกิจ ชอบเก็บอำนาจ การสั่งการ ไว้กับตัวเอง ชอบฉายเดี่ยว กลัวว่าตนจะสูญเสียอำนาจ และความภาคภูมิใจไป ผมอยากจะบอกกับหัวหน้างาน หรือคนที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้ว่า เป็นการบริหารงานที่ “โคตรโบราณ” เลยครับ จะกลัวใครมาเลื่อยขาเก้าอี้ คุณหรือครับ กลัวเขามาเลื่อยขาเก้าอี้ จนต้องกอดอำนาจการสั่งการ การบริหารไว้กับตัว ให้ตัวเองเครียด เหนื่อย จนไม่มีเวลา เสียสุขภาพจิต เสียคุณภาพชีวิต เพราะคำว่า “อำนาจ” คำเดียวนี่น่ะครับ
โลกยุคใหม่ ทุกวันนี้ หมดยุค หมดสมัย กับการกอดอำนาจ และฉายเดี่ยวแบบ ซุปเปอร์ฮีโร่ ไว้กับตัวเองแล้วครับ ไม่แล้วครับผู้นำ ผู้บริหารที่ต้องรู้ทุกเรื่อง เข้าใจทุกอย่าง ข้าเก่งอยู่คนเดียว ทุกอย่างหากตัดสินใจต้องผ่านฉันเท่านั้น แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง เกิดภาพลวงตาว่า ที่ฉันทำแบบนี้ ฉันมีความสำคัญองค์กรจะขาดฉันเสียมิได้ เข้าใจผิดอย่างแรงครับ ขอบอก
สมัยนี้ ยุคใหม่นี้ ผู้นำต้องหยิบยืมมือผู้อื่นที่เก่ง ที่ชำนาญ มาช่วยทำงาน หรือที่เรียกว่า การมอบอำนาจ นั่นเอง มอบอำนาจที่คุณกอดไว้ซ่ะแน่น ออกไปบ้าง คุณจะได้สบายอก สบายมือ คุณจะต้องให้ลูกน้อง หรือทีมงาน สามารถตัดสินใจเองได้ แก้ไขปัญหาเองได้ โดยไม่ต้องคอยถามคุณ แจ้งคุณตลอดเวลา ดั่งที่ “เหลาจื่อ” นักปราชญ์จีนที่ระบุอย่างชัดเจนไว้ใน “คัมภีร์เต้าเต๋อจิง” มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 คริสตกาล ว่า
“ผู้ปกครองที่แท้จริง ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเขาอยู่
แต่เมื่องานการสำเร็จ พวกเขาจะพูดกันว่า
ประหลาดใจจังเราทำสำเร็จได้ด้วยตัวของเราเอง”
ฉะนั้นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่ดี ในยุคนี้นั้นจะยิ่งใหญ่ได้ไม่ใช่เพราะอำนาจของเขาเอง หากแต่เป็นเพราะความสามารถของผู้นำคนนั้น ในการให้ หรือมอบอำนาจให้คนอื่น แน่นอนว่า วุฒิภาวะผู้นำประการแรกที่ต้องทำเลยก็คือ การฟัง แต่หากผู้นำเอาแต่ฟังอย่างเดียว แต่ไม่มีมีการมอบอำนาจให้ลูกน้อง ทีมงานในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย การแก้ไขปัญหาต่างอย่างเร่งด่วนที่หน้างาน ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ไม่มีความยืดหยุ่น เพราะทีมงานคุณต้องคอยปรึกษาคุณ รอคุณในการตัดสินใจ จนก่อให้เกิดความเสียหายตามมาจากการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า เพราะกว่าจะขอทำเรื่องอนุมัติได้ก็ช้า ช้าซ่ะจนไม่เรื่อง งานเกิดความเสียหายไปหมด
ผมขอยกประโยคตอนหนึ่งจากหนังสือ ” The Invisible Leader ผู้นำล่องหน “ โดยคุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ว่า จังหวะของผู้นำ ก็เหมือนกับการเต้นรำ การเต้นรำนั้นไม่เหมือนกับการวิ่ง เราจะต้องเต้นรำเป็นคู่ มีการก้าวหน้า ก้าวหลัง ก้าวข้าง ก้าวตาม วน ไปด้วยกัน ต่างจากการวิ่งที่คุณสามารถวิ่งไปได้คนเดียว และวิ่งมุ่งไปข้างหน้าตลอดได้เลย แต่เวลาที่เต้นรำ เราต้องใส่ใจในคู่เต้นของเรา ต้องอ่านจังหวะ อ่านฝีเท้า อ่านความรู้สึก อ่านอารมณ์ และที่แน่นอน บางครั้งเราก็ต้องมีบางจังหวะที่เราเป็นฝ่ายเต้นนำ และบางจังหวะที่ต้องให้คู่ของเรา เป็นฝ่ายนำ เราก็ต้องควรปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายนำบ้าง ต้องมีการสลับบทบาทกันไปมา สลับกันไป การเต้นรำจึงจะสอบประสานลื่นไหล และมีความงดงามในการเต้นรำนั้น
เหตุผลที่การมอบอำนาจ ทำได้ยากสำหรับคนระดับหัวหน้า ส่วนมากเป็นเหตุผลทางใจ กลับลูกน้องเก่งกว่า เด่นกว่า ซึ่งเป็นความกลัวขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในการสูญเสียความสำคัญของตนเองไป แต่ขอให้คุณคิด และอย่าลืมไปว่า “ยิ่งลูกน้อง หรือทีมงานของคุณเก่งแค่ไหน หรือเก่งกว่าคุณมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสบายมากขึ้นเท่านั้น” ครับ ลูกน้องเขา จะต้องเก่งกว่าเรา ยอดเยี่ยมกว่าเรา ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเยี่ยมยอดได้โดยไม่ต้องมีเรา คุณต้องภูมิใจน่ะว่า คุณคือผู้นำที่แท้จริงแล้ว เพราะคุณได้สร้างผู้นำ ซึ่งถือเป็นลักษณะของผู้นำระดับที่ 5 ที่สำเร็จสูงสุดตามที่ จอห์น ซี. แม็คซืเวลล์ ได้กล่าวไว้หนังสือ ผู้นำ 5 ระดับ
คนเป็นผู้นำ จะต้องยอมให้ลูกน้องปีนไหล่เราขึ้นไป สร้างให้เขาเก่งขึ้น ต้องสอน ปรับปรุงให้เขาเก่งกว่าเรา ยิ่งเขาเก่งกว่าเรา ยิ่งต้องภาคภูมิใจได้ เพราะเขาสามารถทำงานได้โดยไม่มีเรา หรือที่ คุณเคน นครินทร์ บอกไว้ว่า เป็น “ผู้นำล่องหน” แล้วนั่นเอง
เมื่อไหร่ที่คุณมอบอำนาจให้ลูกน้อง และทีมงานคุณ แล้วเขาทำสำเร็จ เขาจะเกิดความเชื่อมั่นในตัวคุณ ศรัทธาคุณ เทิดทูนคุณ ไว้วางใจคุณ เพราะคุณคือผู้ให้โอกาส มันเหมือนมีพลังพิเศษเลยน่ะ ที่ทำให้ผู้นำเช่นคุณมี พลังอำนาจพอๆ กับซุปเปอร์ฮีโร่เลยเสียอีก ครับ ฉะนั้นมอบ และกระจายอำนาจที่คุณมี ให้ลูกน้อง และทีมงานคุณเถอะครับ ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะมาเลื่อยขาเก้าอี้คุณหรอก แต่หากคุณยังคงกอดอำนาจไว้ซ่ะแน่น เมื่อใดที่คุณเมื่อย กอดไม่ไหว เมื่อนั้นแหล่ะเก้าอี้ตำแหน่งอำนาจของคุณ ก็จะพังเสียเองครับ