เป็นเรื่องแปลกน่ะครับ ยิ่งคุณใช้สมองคิด ยิ่งคุณคิดเตรียมตัวที่จะทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรวางแผนซ่ะดิบดี สุดท้ายก็เหลวไม่เป็นท่า แล้วมาพาลคิดว่าเราไม่เหมาะกับการทำอะไรแบบนี้เลย ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้เริ่มอะไรสักอย่างเดียว ตลกไหมครับ อย่าปฏิเสธน่ะว่าคุณไม่เคยเป็น
อย่าว่า หรือด่าตัวเองเลยครับ ว่าตนเองไม่ได้เรื่องถึงไม่เปลี่ยนแปลงสักที ผมอยากจะบอกว่ามันเป็นกลไกตามธรรมชาติของสมองครับ ซึ่งสมองของมนุษย์นั้นเขาเกลียดการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ลำบากหน่อยก็ไม่เอาแล้ว สมองของเรารักความสบายครับ ซึ่งการที่ร่างกาย และสมองที่จะพยายามรักษาสภาพปัจจุบัน และธำรงไว้ซึ่งความสบายนี้เราเรียกสิ่งนี้ว่า “ภาวะธำรงดุล หรือ ทางจิตวิทยาเรียกว่า Homeostasis ครับ
เมื่อใดที่คุณคิดที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย หรืออะไรสักอย่าง สมองของคุณจะคิดทันทีว่า “เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จะต้องจำกัดพฤติกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงนี้ไว้ให้ได้” สมองของคุณจะคิด และเลือกหนทางที่ปลอดภัยต่อตัวเราไว้ก่อน และพยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นหากคุณจะฝืน โดยใช้ความพยายาม ความอดทน ตั้งเป้าหมายซ่ะใหญ่โต สัญญากับตนเองไว้ว่าจะทำ จึงทำให้เหลวไม่เป็นท่า ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้
ฉะนั้น สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยง “ภาวะธำรงดุล” ของคุณเองก็คือ “การที่คุณไม่ต้องใช้สมองคิดมาก และเลิกคิดที่จะวางแผนเสียทีว่า ทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ เพราะเมื่อคุณคิดแต่ว่า จะทำอย่างไรหนอ วางแผนอย่างไรหนอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ จนคิดมาก ทำให้การที่คุณคิดจะเปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ได้เปลี่ยนสักที ไม่ได้ทำสักที ห่างไกลการเปลี่ยนแปลงออกไป
สิ่งที่แก้ปัญหานี้ก็คือ “ให้ลงมือทำไปเลย แทนที่จะมัวแต่คิด” ไม่ต้องวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เราทำจะผิด จะทำได้ไหมหนอ จะคุ้มไหมหนอ ไม่ต้องคิด เพราะคิดแล้วไม่ได้ทำ ให้ตัดสินใจทำไปเลย แล้วค่อยมาจัดการให้เชื่อมโยงกัน ทำให้ดีขึ้นเหมาะสมในภายหลัง วิธีนี้แหละ Work สุดๆ ครับ
คุณไม่ต้องรอให้ทุกอย่างให้พร้อมสรรพก่อนถึงจะเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ชีวิตดีขึ้น ให้เริ่มทั้งๆ ที่ไม่พร้อมที่แหละครับ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่พร้อม Perfect ทุกอย่างครับ มีแต่ให้ทำไปก่อน แล้วค่อยทำให้ดีขึ้นภายหลัง เชื่อผมการวางแผนสวยหรู ไม่ได้ช่วยอะไรให้ชีวิตคุณดีขึ้นในการวางแผนทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ผมขอยกตัวอย่างให้คุณเห็นภาพชัดๆ แล้วกัน คุณเคยอยากได้รองเท้าผ้าใบสักคู่ไหม ตอนที่คุณเห็นรองเท้าผ้าใบคู่นี้วางอยู่ คุณอยากได้มาก สวยมาก แต่มีราคาค่อนข้างสูง คุณก็เลยกลับมาวางแผนที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ จำเป็นแค่ไหนในการซื้อรองเท้าคู่นี้ ยิ่งคุณวางแผน คิดวิเคราะห์มากขึ้นเท่าไหร่ คุณจะรู้สึกอยากได้รองเท้าคู่นั้นน้อยลง จนสุดท้ายคุณก็อาจไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะซื้อรองเท้าคู่นี้อีกต่อไป
จากตัวอย่างเห็นไหมครับว่า การที่คุณมัวแต่คิด มัวแต่วางแผนอยู่ ทำให้แรงจูงใจในการจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้ชีวิตดีขึ้นของคุณ ค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ และมันคือกลไกของสมองที่พร้อมจะปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงต่างๆ บุคคลระดับโลกที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด หากคิดอะไรได้แล้วจะเร่ิมทำทันทีโดยไม่รีรอ เข้าทำนองที่ว่า “เก่งไม่กลัว แต่กลัวช้า”
ฉะนั้น คุณต้องเป็นคนกล้าหาญ ใช้สมองคิดให้น้อยที่สุด รวมความกล้าทั้งหมดไปที่การเน้นลงมือทำที แล้วสภาพแวดล้อมทั้งหมดจะมาสั่งจิตใต้สำนึกของคุณให้หาวิธี ปรับเปลี่ยน จนประสบความสำเร็จเอง การคิดมาก คิดโน่นคิดนี้ อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วคุณถึงจะทำนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรอกครับ มีแต่จะทำให้ชีวิตคุณไม่อยากเปลี่ยนแปลง
มาเริ่มด้วยการลงมือทำที เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้นกันดีกว่าครับ อย่าคิดเยอะ ชีวิตเรา อายุของเราไม่รอใคร หากช้า สุดท้ายก็ต้องมาพูดกับตนเองว่า “รู้งี้น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว” ซึ่งมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ครับ