จะให้ลูกน้องทำอะไร ก็สั่งการ ต้องเสร็จตามเวลานั้น เวลานี้น่ะ คุณต้องทำอย่ามาโต้แย้ง และคำอื่นๆ ที่เกิดจากการสั่งการอีกมากมายนัก ซึ่งผมกำลังจะบอกว่า การออกคำสั่งอย่างเดียว สำหรับผู้นำยุคใหม่นั้น มันโบราณไปแล้วครับ ผู้นำยุคใหม่ต้องยกการสื่อสารจากการสั่งการ ไปสู่การเข้าถึงลูกน้องหรือทีมงาน
ดังที่ ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ได้กล่าวไว้ว่า ” คุณนำด้วยการตบหัวคนอื่นไม่ได้ เพราะนั่นถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่การเป็นผู้นำ” เฉกเช่นเดียวกัน การที่คุณในฐานะหัวหน้างานสั่งการอย่างเดียวโดยไม่เข้าถึงลูกน้องด้วยใจ ก็เหมือนกับการทำร้ายลูกน้องด้านจิตใจ เขาไม่ได้ทำงานให้คุณด้วยความเต็มใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องสั่งให้เขาทำแบบนั้นด้วย ซึ่งเขาจะทำงานให้คุณตามคำสั่งเท่านั้น คุณภาพก็ไม่ต้องพูดถึง แค่พอผ่าน เอาล่ะครับเรามาดูความแตกต่างระหว่าง การสื่อสาร แบบ “การสั่งการ” และแบบ “การเข้าถึง” เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
การสั่งการ | การเข้าถึง |
พูดสั่งการ | รับฟังความคิดเห็นจากลูกน้อง |
กำหนดให้คนนี้ทำงานให้ | ส่งเสริมทำงานร่วมกันเป็นทีม |
คิดเอาเอง ทำแบบที่ตนต้องการ | เข้าใจลูกน้อง ออกความเห็นร่วมกัน |
ให้คำตอบไปเลย | ตั้งคำถามให้คิด |
วางอำนาจ วางท่า | ร่วมมือกัน |
เอาล่ะครับพอเห็นภาพความแตกต่างระหว่างการสื่อสารแบบ “สั่งการ” และการสื่อสารแบบ “เข้าถึง” แล้วน่ะครับ ต่อไปนี้ผมจะมาบอกถึงวิธีการที่คุณ จะยกระดับความเป็นผู้นำ สู่การเข้าถึงแบบ ง่ายๆ ซึ่งคุณต้องปรับปรุง และเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ แล้วคุณจะเห็นผลคุ้มค่าอย่างแน่นอนโดยมีสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้นำ ในการยกระดับสู่การเข้าถึงดังนี้
1. คุณต้องมีความถ่อมตน ให้คนอื่นได้รู้ว่าคุณนั้นต้องการทำงานร่วมกับพวกเขา
คุณต้องเข้าใจจุดแข็ง และจุดอ่อนของตนเอง เพื่อที่จะนำจุดแข็งของคุณไปช่วยเหลือทีมงาน และลูกน้องของคุณเอง รวมถึงคุณต้องน้อมรับในจุดอ่อนของตนเองด้วย อย่าปฏิเสธจุดอ่อนของตัวเอง มิเช่นนั้นควรจะขอโทษใครไม่เป็น และไม่มีทางพัฒนาตนเองสู่การเข้าถึงได้ คุณจะต้องไม่หมกมุ่น มุ่งเน้นแต่เฉพาะกับตนเอง ต้องสนใจในการช่วยเหลือผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัว ที่สำคัญคุณต้องกล้าในการขอความช่วยเหลือจากทีม จากลูกน้องของคุณ อย่างทำตัวเก่งนักเลย คุณต้องทำงานเป็นทีมครับ
2. หากคุณอย่างรู้ คุณต้องกล้าตั้งคำถาม
คุณต้องตั้งคำถามกับตนเองอยู่ตลอดเวลา เช่นคุณทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง ในฐานะผู้นำคุณได้ทำอะไรให้ทีมแล้วบ้าง คุณมีการช่วยเหลือทีมมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญของการตั้งคำถามก็คือ คุณได้ทำตามเป้าหมายของตัวคุณเองแล้วหรือยัง? หากคุณเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้างาน แล้วไม่รู้จักตั้งคำถามชีวิตเลย คุณจะเป็นคนที่ไม่เป็นระเบียบ ไร้แก่นสาร รักความสบาย ซึ่งไม่ดีแน่สำหรับภาวะผู้นำเช่นคุณ
3. คุณมีความพยายามในการทุ่มเทเพื่อเข้าถึงผู้คน มากน้อยเพียงใด
ความพยายามในการทุ่มเทเพื่อการเข้าถึงผู้คนของคุณ วัดกันที่ คุณมีการใส่ใจผู้อื่น ทีมงาน ลูกน้องของคุณมากน้อยเพียงใด คุณมีการสร้างความคุ้นเคย เข้าถึง พบ คุยกับคนอื่นมากน้อยเพียงใด หากคุณยังคงคิดว่า “ฉันเป็นหัวหน้างาน เป็นระดับผู้นำ ลูกน้องต้องมาหาฉันซิ ฉันต้องไปหาลูกน้องทำไม” อีโก้แรงๆ แบบนี้ไม่ดีแน่ ยิ่งเป็นผู้นำ ยิ่งต้องให้คนอื่น โดยเฉพาะลูกน้องของคุณเข้าถึงได้ และคุณต้องเข้าถึงพวกเขาด้วย อย่างคิดแบบโบราณ มันหมดยุค หมดสมัยไปแล้วครับ
4. จงเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เป็นคนที่คนอื่นไว้วางใจได้
คุณสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับคุณได้ โดยปฏิบัติตามง่ายๆ 3 ข้อนี้คือ 1. คุณต้องครองชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต 2. คุณต้องทำทุกอย่าง อย่างสม่ำเสมอ ไม่เสแสร้งทำ ทำด้วยความเต็มใจ 3. ทำงานด้วยความสามารถ แน่นอนครับ คุณ แม้กระทั่งตัวผมเอง และทุกคนบนโลกนี้ ก็ต้องมีบ้างที่ทำผิดพลาดข้อใด ข้อหนึ่งไป และต้องเรียกความน่าเชื่อถือกลับคืนมา คุณสามารถเรียกความน่าเชื่อถือกลับคืนมาได้ด้วยวิธีการตามขั้นตอนดังนี้คือ
– ต้องยอมรับว่าตนเองผิด
– คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าคุณจะทำอะไรเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดนี้
– คุณต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่น ได้แสดงมุมมอง ความคิดเห็น จากการกระทำของคุณ
– ลงมือแก้ไขปัญหานั้นทันที
– ลงมือแก้ไขปัญหานั้นทันที
– คุณต้องติดตามผลการแก้ไขปัญหา และการแก้ไขปัญหาของคุณต้องมีเป็นที่พึงพอใจของพวกเขาด้วย
5. ต้องรู้จักการให้ เอื้อเฟื้อ และให้ต่อไปเรื่อย
เมื่อเราไม่รู้จักการให้ เห็นแก่ตัว นิสัยคับแคบ สิ่งที่คุณมีน้อยอยู่แล้ว ก็จะยิ่งมีน้อยลง น้อยลงทุกวัน แต่เมื่อคุณได้ให้อย่างเต็มใจ ด้วยจิตใจที่กว้างขวาง มีความสุข แสดงให้เห็นว่าคุณมีเหลือเฟือ มังคั่ง สิ่งที่คุณให้ไปจะยิ่งทวีคูณยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างไม่สิ้นสุด ที่กล่าวมาเป็นหลักธรรมชาติ ที่เป็นจริงที่สุดครับ
ดังนั้น คุณควรที่จะรู้จักการให้ ให้ไปเรื่อยๆ การให้ การเอื้อเฟื้อ จะทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น มีความเป็นผู้นำที่ดีขึ้น หากคุณยังคงมีนิสัยที่รับก่อน แล้วค่อยให้ ขอให้ปรับก่อน เป็นการให้โดยไม่ได้หวังผลใดๆ ชีวิตคุณจะดีขึ้น ผู้คนเข้าหาคุณ รักคุณมากขึ้นอย่างแน่นอน
6. รับฟังให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง เพราะการตั้งใจรับฟัง เป็นประตูที่ดีที่สุดในการเข้าถึงผู้อื่น
คุณจอห์น ซี แม็คซ์เวลล์ โค้ชภาวะผู้นำระดับโลก ได้ให้สูตรในการรับฟัง แห่งความสำเร็จไว้ดังนี้ ซึ่งคุณสามารถปฏิบัติได้โดยทันที
– คุณต้องเตือนตนเองทุกวันให้รับฟังให้ดีๆตั้งใจฟังให้ดีๆ
– คุณต้องเลิกขัดจังหวะคนอื่นที่กำลังพูดอยู่ ห้ามพูดแทรก หรือทะลุกลางปล้องในขณะที่คนอื่นพูดอยู่
– ตั้งคำถามกับคนพูด หากเขาพูดจบแล้ว เพื่อแสดงว่าเราตั้งใจฟังเขา และเก็บรายละเอียดจากการที่เขาพูด
– คุณต้องเปิดให้คนเตือนคุณ หากคุณไม่ตั้งใจรับฟังคนอื่นพูด หากมีคนท้วงคุณบอกคุณมา ให้คุณขอโทษ เงียบ และรับฟัง
7. คุณต้องฝึกให้กำลังใจผู้อื่น โดยเฉพาะทีมงาน และลูกน้องของคุณเอง
คุณต้องคอยให้กำลังใจทีมงาน ลูกน้องของคุณ และผู้อื่น คุณต้องแสดงว่าคุณเห็นด้วย เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างจริงใจ ทุกคนต้องการกำลังใจ คำชื่นชม เพื่อเป็นยาจรรโลงใจ และการให้กำลังใจผู้อื่น เป็นการเข้าถึงผู้อื่นได้ดีมากที่สุดวิธีหนึ่ง การให้กำลังใจนี้ คุณสามารถนำไปปรับใช้กับคนอื่นๆ ในชีวิตของคุณได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น สามี ภรรยา ลูกๆ ของคุณ ญาติคุณ หรือใครก็ตาม คุณต้องให้กำลังใจผู้อื่นด้วยความจริงใจ แล้วคุณก็จะได้กำลังใจกลับมา
และนี่คือวิธีการที่ปรับการสื่อสารของผู้นำเช่นคุณ จากวิธีการสื่อสารแบบ “สั่งการ” ไปสู่การสื่อสารสมัยใหม่ของผู้นำคือ “การเข้าถึง” อาจจะต้องใช้เวลา กับความพยายามสม่ำเสมอ แต่รับรองมันจะคุ้มค่ากับคุณอย่างแน่นอน และของให้คุณอย่ารอ ให้คุณปรับใช้โดยทันที เพื่อความก้าวหน้าของทีมงาน รวมถึงชีวิตของคุณเองครับ