ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน

เบื่อหน่ายกับเพื่อนร่วมงาน “Toxic” เคล็ดลับปกป้องตัวเองให้พ้น

Rating:

      ชีวิตการทำงานย่อมเต็มไปด้วยสีสัน หลากรสชาติ บางครั้งก็ราบรื่น บางครั้งก็เจออุปสรรค หนึ่งในอุปสรรคที่พบบ่อยคือ การมีเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา ส่งผลต่อบรรยากาศการทำงาน ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพการทำงาน บทความนี้จึงอยากนำเสนอแนวทางในการรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่นและมีความสุข

      การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในออฟฟิศที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีนิสัย บุคลิก และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมมีโอกาสพบเจอเพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยและพฤติกรรมที่หลากหลาย บางคนอาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก ทำงานด้วยง่าย ช่วยเหลือ สนับสนุน สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี แต่บางคนอาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ และความสุขในการทำงานของคุณ

       เพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหาอาจมีรูปแบบพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป เช่น เพื่อนร่วมงานที่ชอบนินทา เพื่อนร่วมงานที่ชอบขี้เกียจ เพื่อนร่วมงานที่ชอบขโมยงาน เพื่อนร่วมงานที่ชอบสร้างความวุ่นวาย เพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนสร้างความรำคาญ ความเครียด และความไม่พอใจให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ส่งผลต่อบรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียด ความสัมพันธ์ที่ขุ่นเคือง และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง

Credit:https://pixabay.com/

        หากคุณกำลังเผชิญปัญหากับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา อย่ากังวลไป บทความนี้ผมจะนำเสนอแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่นและมีความสุข เรามาเริ่มกันเลย

1. ระบุปัญหาและสาเหตุ: เข้าใจต้นตอของปัญหาเพื่อนร่วมงาน

     การระบุปัญหาและสาเหตุ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางให้คุณไปสู่ทางออกที่ถูกต้อง ดังนั้น ก่อนที่จะหาวิธีจัดการกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ เข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้

      เริ่มต้นด้วยการสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน จดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พฤติกรรมที่แสดงออก คำพูด ภาษากาย อารมณ์ และผลกระทบที่เกิดขึ้น พยายามวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อคุณ เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ และงานของคุณอย่างไร

ตัวอย่างปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อย

  • เพื่อนร่วมงานชอบนินทา: พูดนินทาว่าร้ายเพื่อนร่วมงานคนอื่น สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ทำให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียด
  • เพื่อนร่วมงานชอบขี้เกียจ: ไม่รับผิดชอบงาน มักมีข้ออ้าง ทำงานไม่ตรงเวลา ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของทีม
  • เพื่อนร่วมงานชอบขโมยงาน: แยกรับงานของผู้อื่นไปทำ นำผลงานของผู้อื่นไปเสนอเป็นของตัวเอง สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์
  • เพื่อนร่วมงานชอบสร้างความวุ่นวาย: เสียงดัง รบกวนสมาธิ สร้างบรรยากาศการทำงานที่ไม่เหมาะสม
  • เพื่อนร่วมงานชอบเอาแต่ใจตัวเอง: ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ดื้อรั้น หัวดื้อ สร้างปัญหาในการทำงานร่วมกัน

เมื่อคุณสังเกตและจดบันทึกปัญหาพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานได้แล้ว ลองวิเคราะห์ “สาเหตุ” ของพฤติกรรมเหล่านั้น สาเหตุอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น

  • นิสัยส่วนตัว: เพื่อนร่วมงานอาจมีนิสัยแบบนั้นเป็นปกติ โดยไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหา
  • ความเข้าใจผิด: เพื่อนร่วมงานอาจเข้าใจสถานการณ์ผิด ตีความคำพูดหรือการกระทำของคุณผิด
  • ปัญหาส่วนตัว: เพื่อนร่วมงานอาจมีปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม
  • ปัญหาภายในองค์กร: วัฒนธรรมองค์กร ระบบการทำงาน หรือ นโยบายขององค์กรอาจเอื้ออำนวยให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้

      การเข้าใจสาเหตุของปัญหา จะช่วยให้คุณหาวิธีแก้ไขได้ตรงจุด และป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำอีก

ตัวอย่างการวิเคราะห์สาเหตุ

  • กรณีเพื่อนร่วมงานชอบนินทา: สาเหตุอาจมาจากนิสัยส่วนตัวที่ชอบพูดนินทา หรือ อาจเกิดจากความเข้าใจผิด คิดว่าคุณสนิทสนมและสามารถพูดอะไรก็ได้
  • กรณีเพื่อนร่วมงานชอบขี้เกียจ: สาเหตุอาจมาจากนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบทำงาน หรือ อาจเกิดจากปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ
  • กรณีเพื่อนร่วมงานชอบขโมยงาน: สาเหตุอาจมาจากนิสัยส่วนตัวที่ต้องการเอาผลงานของผู้อื่นมาเสริมสร้างผลงานของตัวเอง หรือ อาจเกิดจากความกดดันจากหัวหน้างาน กลัวว่าจะทำงานไม่เสร็จ

การวิเคราะห์สาเหตุอย่างละเอียด จะช่วยให้คุณเข้าใจเพื่อนร่วมงานมากขึ้น และ หาวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

2. สื่อสารอย่างใจเย็น: กุญแจสำคัญสู่การแก้ปัญหาในออฟฟิศ

     การทำงานร่วมกับผู้อื่น ย่อมมีโอกาสเกิดความขัดแย้งหรือปัญหาไม่เข้าใจกัน การสื่อสารอย่างใจเย็น จึงเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้

2.1 หลักการสำคัญของการสื่อสารอย่างใจเย็น

  • ควบคุมอารมณ์: ก่อนที่จะเริ่มพูดคุย ให้ใช้เวลาสงบสติอารมณ์ หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยวางความคิดลบ และพยายามคิดบวก การควบคุมอารมณ์จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างมีเหตุผล ชัดเจน และตรงประเด็น
  • ตั้งใจฟัง: เมื่ออีกฝ่ายพูด ตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ พยายามเข้าใจมุมมองของเขา หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะ การตั้งใจฟังจะแสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขากำลังพูด และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของเขา
  • พูดอย่างชัดเจน: พูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ ใจเย็น และตรงประเด็น หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ก้าวร้าว หรือดูถูก การพูดอย่างชัดเจนจะช่วยให้เข้าใจความหมายตรงกัน และลดโอกาสเกิดการเข้าใจผิด
  • ใช้ภาษากายที่เหมาะสม: รักษาระยะห่างที่เหมาะสม สบตา และแสดงท่าทางที่สื่อถึงความสนใจ การใช้ภาษากายที่เหมาะสมจะช่วยสร้างบรรยากาศการพูดคุยที่ดี และทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เปิดใจ: ยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และพยายามหาจุดร่วม การเปิดใจจะช่วยให้คุณมองเห็นมุมมองที่หลากหลาย และนำไปสู่การหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
  • ใจเย็น: อดทน รอคอย และไม่รีบร้อนที่จะสรุปผล การใจเย็นจะช่วยให้คุณสามารถคิดวิเคราะห์สถานการณ์ หาทางออก และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล

2.2 ตัวอย่างของการสื่อสารอย่างใจเย็น

สถานการณ์: เพื่อนร่วมงานของคุณมาสายเป็นประจำ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของทีม

การสื่อสารที่ไม่เหมาะสม:

  • “มาสายอีกแล้วเหรอ! กี่โมงกี่นาทีแล้ว! ไม่เคยมาทำงานตรงเวลาเลย!” (พูดด้วยน้ำเสียงตะโกน)
  • “ไม่รู้จักคิดอะไรบ้างหรือเปล่า! ทำงานให้ตรงเวลาหน่อยได้ไหม!” (พูดด้วยน้ำเสียงโมโห)

การสื่อสารอย่างใจเย็น:

  • “สวัสดี [ชื่อเพื่อนร่วมงาน] วันนี้มาสายอีกแล้ว พอดีมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” (พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใจเย็น)
  • “เข้าใจว่าบางครั้งอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่การมาสายบ่อยๆ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของทีม เราลองหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ด้วยกันดีไหม?” (พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน)
  • “มีอะไรที่เราช่วยได้ไหม? เช่น การปรับเวลาเริ่มงาน หรือเพิ่มเติมระบบแจ้งเตือน” (พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แต่ไม่โกรธ)

2.3 ประโยชน์ของการสื่อสารอย่างใจเย็น

  • ช่วยให้เข้าใจกันมากขึ้น: การสื่อสารอย่างใจเย็นช่วยให้คู่สนทนาเข้าใจความคิด ความรู้สึก และมุมมองของกันและกัน
  • ลดความขัดแย้ง: การสื่อสารอย่างใจเย็นช่วยลดความตึงเครียด ความขัดแย้ง โอกาสในการทะเลาะวิวาท และสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการสื่อสาร
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การสื่อสารอย่างใจเย็นช่วยสร้างความไว้วางใจ ความเคารพ และความสัมพันธ์ที่ดี
  • ช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ: การสื่อสารอย่างใจเย็นช่วยให้สามารถระดมความคิด หาทางออกร่วมกัน และแก้

 

3. หาวิธีแก้ไขร่วมกัน

     การหาวิธีแก้ไขร่วมกันเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา เป้าหมายคือการหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับ และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยหลักการดังนี้

     3.1 ระดมความคิด: เริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานของคุณ ระดมความคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ โดยไม่ต้องตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ความคิดของกันและกัน

     3.2 ประเมินผล: หลังจากได้แนวทางแก้ไขหลายๆ แนวทางแล้ว นำมาวิเคราะห์ ประเมินข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

     3.3 เลือกแนวทาง: ร่วมกันตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเป็นไปได้ ประสิทธิภาพ ผลกระทบ และความยินยอมของทุกฝ่าย

     3.4 วางแผน: เมื่อได้แนวทางแก้ไขแล้ว กำหนดแผนปฏิบัติการ ระบุบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีการติดตามผล

     3.5 ลงมือ: เมื่อมีแผนที่ชัดเจนแล้ว ร่วมมือกันลงมือปฏิบัติตามแผน ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และพร้อมปรับเปลี่ยนแผนหากจำเป็น

     3.6 ติดตามผล: หลังจากลงมือปฏิบัติแล้ว ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ประเมินผลลัพธ์ หากมีปัญหาหรืออุปสรรค ร่วมกันหาวิธีแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาแนวทางต่อไป

ตัวอย่าง

สถานการณ์: พนักงานสองคนในแผนกมักทะเลาะกันบ่อยครั้ง ส่งผลต่อบรรยากาศการทำงาน และประสิทธิภาพของทีม

แนวทางแก้ไข:

  • ระดมความคิด: ทั้งสองคนและหัวหน้างานร่วมกันระดมความคิดหาสาเหตุของปัญหา มุมมองของแต่ละฝ่าย และแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้
  • ประเมินผล: วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ และผลกระทบของแต่ละแนวทางแก้ไข
  • เลือกแนวทาง: ตกลงเลือกแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม เช่น การจัดอบรมทักษะการสื่อสาร การกำหนดกฎระเบียบการทำงาน หรือการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่
  • วางแผน: กำหนดแผนปฏิบัติการ ระบุบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีการติดตามผล
  • ลงมือ: ร่วมมือกันลงมือปฏิบัติตามแผน หัวหน้างานคอยเป็นตัวกลาง ไกล่เกลี่ย และสนับสนุน
  • ติดตามผล: ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ประเมินผลลัพธ์ หากมีปัญหาหรืออุปสรรค ร่วมกันหาวิธีแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาแนวทางต่อไป

ผลลัพธ์: พนักงานทั้งสองคนเข้าใจกันมากขึ้น สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บรรยากาศการทำงานดีขึ้น ประสิทธิภาพของทีมดีขึ้น

ข้อควรระวัง

  • ความอดทน: การหาวิธีแก้ไขร่วมกันอาจต้องใช้เวลา พยายามอดทน ใจเย็น และเปิดใจรับฟัง
  • ความเคารพ: เคารพความคิดเห็น มุมมอง และความรู้สึกของผู้อื่น
  • ความร่วมมือ: ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน
  • การสื่อสาร: สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ตรงประเด็น และสุภาพ

     การหาวิธีแก้ไขร่วมกันเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความอดทน และความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกัน ปัญหาต่างๆ ก็สามารถแก้ไขได้ และนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี และการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

4. แจ้งหัวหน้างาน

      ในบางสถานการณ์ การพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานโดยตรงอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา หรือเพื่อนร่วมงานของคุณมีพฤติกรรมที่รุนแรง สร้างความเสียหาย หรือคุกคามต่อคุณและผู้อื่น กรณีเหล่านี้จำเป็นต้องแจ้งหัวหน้างานหรือแผนกทรัพยากรบุคคลเพื่อขอความช่วยเหลือ

วิธีการแจ้งหัวหน้างาน

  • เตรียมข้อมูลให้พร้อม: รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เช่น อีเมล ข้อความ หรือบันทึกเหตุการณ์ เขียนรายละเอียดของปัญหา ผลกระทบที่เกิดขึ้น และวิธีที่คุณพยายามแก้ไข
  • เลือกเวลาที่เหมาะสม: แจ้งหัวหน้างานในเวลาที่เขาสะดวก และมีสมาธิในการรับฟัง
  • อธิบายปัญหาอย่างชัดเจน: พูดคุยอย่างสุภาพ ใจเย็น ตรงประเด็น และเน้นไปที่ข้อเท็จจริง หลีกเลี่ยงการพูดจาโจมตีหรือกล่าวหา
  • เสนอแนะแนวทางแก้ไข: บอกหัวหน้างานว่าคุณต้องการอะไร เช่น การย้ายที่นั่ง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือการอบรมพนักงาน
  • รับฟังความคิดเห็นของหัวหน้างาน: หัวหน้างานอาจมีคำถามเพิ่มเติม หรือเสนอแนะแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม ตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ และแสดงความร่วมมือ
  • ติดตามผล: หลังจากแจ้งหัวหน้างานแล้ว ควรติดตามผลเพื่อดูว่ามีการดำเนินการอย่างไร และปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่

ตัวอย่าง

      พนักงานชื่อนางสาวนภา ทำงานในแผนกการตลาด เธอมีเพื่อนร่วมงานชื่อนายธงชัย มักชอบพูดจาดูถูก ข่มขู่ และสร้างความรำคาญให้กับเธอ นางสาวนภาพยายามพูดคุยกับนายธงชัยแล้ว แต่เขาไม่ฟังเธอจึงตัดสินใจแจ้งหัวหน้างาน

      นางสาวนภาเตรียมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น อีเมลที่นายธงชัยส่งมา ข้อความที่พูดคุยกัน และบันทึกเหตุการณ์ เขียนรายละเอียดของปัญหา ผลกระทบที่เกิดขึ้น และวิธีที่เธอพยายามแก้ไข ในวันรุ่งขึ้น เธอไปพบหัวหน้างานในช่วงเวลาที่เขาสะดวก อธิบายปัญหาอย่างชัดเจน ใจเย็น และตรงประเด็น หัวหน้างานรับฟังอย่างตั้งใจ และแสดงความห่วงใย เขาถามนางสาวนภาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของปัญหา และเสนอแนะแนวทางแก้ไข เช่น การย้ายที่นั่งของนายธงชัย การอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเคารพซึ่งกันและกัน และการกำหนดมาตรการลงโทษสำหรับพนักงานที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม นางสาวนภารู้สึกขอบคุณหัวหน้างานที่รับฟังและช่วยเหลือ เธอติดตามผลกับหัวหน้างานเป็นระยะ และปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในที่สุด

ข้อควรระวัง

  • แจ้งหัวหน้างานด้วยความบริสุทธิ์ใจ: หลีกเลี่ยงการแจ้งหัวหน้างานเพื่อกลั่นแกล้ง หรือดิสเครดิตเพื่อนร่วมงาน
  • เก็บหลักฐานไว้: ในกรณีที่มีข้อพิพาท หลักฐานจะช่วยสนับสนุนคำพูดของคุณ
  • รักษาความเป็นมืออาชีพ: แม้จะรู้สึกโกรธ หรือโมโห แต่ควรควบคุมอารมณ์ และพูดคุยกับหัวหน้างานอย่างสุภาพ
  • เคารพการตัดสินใจของหัวหน้างาน: หัวหน้างานอาจมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างจากคุณ ควรเปิดใจรับฟัง และเคารพการตัดสินใจของเขา

       การแจ้งหัวหน้างานเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาขั้นสุดท้าย ควรพยายามพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานโดยตรงก่อน แต่หากจำเป็นต้องแจ้งหัวหน้างาน ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เก็บหลักฐานไว้ รักษาความเป็นมืออาชีพ และเคารพการตัดสินใจของหัวหน้างาน

5. ปกป้องตัวเอง: ยืนหยัดเพื่อตัวเองในออฟฟิศ

     การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา บางครั้งอาจจำเป็นต้องปกป้องตัวเอง รักษาสิทธิ์ และความเป็นส่วนตัว โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมองว่าใจแคบ ขี้ระแวง หรือสร้างปัญหา ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้:

   5.1 ตั้งขอบเขตที่ชัดเจน

แจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบว่าพฤติกรรมแบบไหนที่คุณไม่สามารถยอมรับได้ เช่น การพูดจาดูถูก การนินทา การล่วงเกิน หรือการรบกวนเวลาส่วนตัว อธิบายผลที่จะตามมาหากเขายังคงมีพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น การแจ้งหัวหน้างาน หรือการร้องเรียน

   5.2 เก็บหลักฐาน

หากเพื่อนร่วมงานของคุณมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พยายามเก็บหลักฐานไว้ เช่น อีเมล ข้อความ หรือบันทึกเหตุการณ์ หลักฐานเหล่านี้จะช่วยเป็นหลักฐานสนับสนุนกรณีของคุณ หากจำเป็นต้องร้องเรียนต่อหัวหน้างานหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

   5.3 รายงานต่อหัวหน้างานหรือแผนกทรัพยากรบุคคล

หากเพื่อนร่วมงานของคุณยังคงมีพฤติกรรมที่สร้างปัญหา และคุณรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ควรแจ้งหัวหน้างานหรือแผนกทรัพยากรบุคคล อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้น แสดงหลักฐานที่คุณมี และขอความช่วยเหลือในการหาทางแก้ไข

    5.4 ดูแลสุขภาพจิตของตัวเอง

การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหาอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณ จัดการความเครียด หาเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น

    5.5 รักษาความเป็นมืออาชีพ

แม้จะรู้สึกไม่พอใจ หรือโกรธ พยายามรักษาความเป็นมืออาชีพ หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท หรือใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม จดจ่อกับงานของคุณ และแสดงผลงานที่ดีที่สุด

ตัวอย่าง

  • พนักงานออฟฟิศชื่อนางสาวนภา ทำงานในแผนกการตลาด มักถูกเพื่อนร่วมงานชื่อนายธงชัย ล้อเลียนรูปร่างหน้าตา และพูดจาดูถูกอยู่เสมอ นางสาวนภาพยายามพูดคุยกับนายธงชัยหลายครั้ง แต่เขายังคงมีพฤติกรรมเดิม นางสาวนภาจึงตัดสินใจเก็บหลักฐานเป็นข้อความสนทนา และอีเมลที่นายธงชัยส่งมา และรายงานต่อหัวหน้างาน หัวหน้างานเรียกนายธงชัยมาตักเตือน และย้ายให้นั่งทำงานคนละแผนก ปัญหานี้จึงได้รับการแก้ไข นางสาวนภาสามารถทำงานได้อย่างสบายใจมากขึ้น

สิ่งสำคัญ

  • การปกป้องตัวเองไม่ได้แปลว่าคุณขี้ระแวง หรือใจแคบ แต่เป็นการรักษาสิทธิ์ และความเป็นส่วนตัวของคุณ
  • คุณมีสิทธิ์ที่จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และปราศจากการรบกวน
  • ไม่ต้องกลัวที่จะร้องเรียนต่อหัวหน้างานหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากเพื่อนร่วมงานของคุณมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  • ดูแลสุขภาพจิตของคุณ และอย่าปล่อยให้ปัญหาส่งผลต่อชีวิตส่วนตัว

หวังว่าคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถปกป้องตัวเอง ยืนหยัดเพื่อตัวเอง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

6. ปรับมุมมอง: เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีรับมือ

      การเผชิญปัญหางาน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากเพื่อนร่วมงาน อาจส่งผลต่อความคิด อารมณ์ และความรู้สึก บางครั้งเราอาจรู้สึกหงุดหงิด โมโห ท้อแท้ สิ้นหวัง สิ่งเหล่านี้อาจยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น การปรับมุมมอง จึงเป็นอีกวิธีสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    6.1  มองหาแง่ดี

แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พยายามมองหาแง่ดีของสถานการณ์ อาจเป็นโอกาสในการเรียนรู้ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

ตัวอย่าง: แทนที่จะมองเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหาว่าเป็นอุปสรรค ลองมองว่าเขาเป็นบททดสอบที่ช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการสื่อสาร ความอดทน และความใจเย็น

     6.2 คิดบวก

การคิดบวกช่วยให้เรามีพลังใจ มองโลกในแง่ดี และหาทางออกกับปัญหาได้ง่ายขึ้น แทนที่จะกังวลกับปัญหา จดจ่อกับการหาวิธีแก้ไข เชื่อมั่นในตัวเอง และคิดว่าทุกปัญหามีทางออก

ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่า “ฉันคงไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้” ลองคิดว่า “ฉันจะพยายามหาทางแก้ไข และฉันจะประสบความสำเร็จ”

     6.3 ให้อภัย

การโกรธ แค้น หรือไม่ให้อภัยเพื่อนร่วมงาน ส่งผลเสียต่อทั้งตัวเราเองและเขา พยายามให้อภัย ปล่อยวางความรู้สึก และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ

     ตัวอย่าง: แทนที่จะโกรธเพื่อนร่วมงานที่พูดจาไม่ดีกับเรา ลองให้อภัยเขา เข้าใจว่าเขาอาจมีปัญหาส่วนตัว และพยายามหาทางสื่อสารกับเขาอย่างใจเย็น

     6.4 มองโลกอย่างกว้าง

บางครั้งเราอาจจมอยู่กับปัญหา มองโลกแคบ ลองมองภาพรวม มองหาโอกาส และหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

    ตัวอย่าง: แทนที่จะมองว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นความผิดของเพื่อนร่วมงาน ลองมองว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากระบบการทำงาน และหาทางแก้ไขร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือแผนกทรัพยากรบุคคล

     6.5 เรียนรู้จากประสบการณ์

ทุกประสบการณ์ล้วนมีบทเรียน ลองมองหาบทเรียนจากปัญหานี้ นำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง และรับมือกับปัญหาในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่าง: ลองวิเคราะห์ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา อะไรคือสิ่งที่คุณสามารถทำได้ดีขึ้น และอะไรคือสิ่งที่คุณควรเรียนรู้เพิ่มเติม

     6.6 มองตัวเอง

บางครั้งปัญหาอาจเกิดจากตัวเราเอง ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเอง ว่ามีอะไรที่เราควรปรับปรุง พัฒนา หรือเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่

    ตัวอย่าง: ลองถามตัวเองว่า เราสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? เราเข้าใจความรู้สึกของเขาหรือไม่?เรามีทักษะการแก้ปัญหาที่ดีพอหรือไม่?

การปรับมุมมอง

  • ช่วยให้เรามีความสุข
  • ลดความเครียด
  • เพิ่มพลังใจ
  • หาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

ลองฝึกปรับมุมมองในชีวิตประจำวัน คุณจะพบกับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

       การรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหา เป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ความอดทน ใจเย็น และความเข้าใจ คุณจะสามารถผ่านพ้นปัญหา สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

       ที่สำคัญคุณต้อง >>>

  • สิ่งสำคัญคือต้องอดทน ใจเย็น และพยายามหาทางออกร่วมกัน
  • หลีกเลี่ยงการนินทา หรือพูดจาดูถูกเพื่อนร่วมงาน
  • หากรู้สึกว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ควรขอความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน หรือแผนกทรัพยากรบุคคล
  • จำไว้ว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่พร้อมให้กำลังใจและสนับสนุน

       ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และช่วยให้คุณรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่สร้างปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

 

Tags: ,

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

*