จิตวิทยาองค์กร

“จัดการความเครียด” สูตรเด็ด คลายกังวล ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

Rating:

เผชิญหน้ากับ “ความเครียด” ศัตรูตัวร้ายในองค์กร สู่ชีวิตการทำงานที่มีความสุขและประสิทธิภาพ

       ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน งานหนัก และความกดดัน “ความเครียด” กลายเป็นปัญหาที่พนักงานทุกคนต้องเผชิญ ส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ประสิทธิภาพการทำงาน และความสัมพันธ์ในองค์กร

         พนักงานที่เผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน อาจประสบปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความจำเสื่อม ภูมิคุ้มกันลดลง โรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งความเครียด ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้ทำงานผิดพลาด ขาดความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง สมาธิสั้น ขาดความกระตือรือร้น และอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ

 

    ลองนึกภาพสถานการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับคนในองค์กรของคุณซิครับ !!

  • คุณรู้สึกกดดัน ทำงานไม่ทันกำหนด หัวหน้าตำหนิ
  • คุณมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมงาน ทำงานด้วยกันไม่ราบรื่น
  • คุณทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนเพลีย
  • คุณรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดกำลังใจ

     ในวันนี้เพื่อไม่ให้ความเครียดของพนักงานในองค์กรของคุณลุกลามจนยากจะควบคุม  ผมจะนำเทคนิคในการคลายกังวล คลายเครียด สำหรับพนักงานในองค์กร มาบอกเพื่อที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับองค์กรของคุณ เพื่อนำไปสู่ชีวิตการทำงานที่มีความสุข ประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จ  ซึ่งผมได้เรียงลำดับเป็นขั้นตอนในการจัดการความเครียดของคนในองค์กรให้อยู่หมัดดังนี้

1. เข้าใจสาเหตุของความเครียด: ค้นหาต้นตอ ปลดล็อกทางแก้ไข

ความเครียด เปรียบเสมือนศัตรูร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กร คอยกัดกินสุขภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และความสัมพันธ์

การเข้าใจสาเหตุของความเครียด เป็นเหมือนการเปิดประตูสู่แนวทางการแก้ไข

ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดความเครียดในองค์กร แบ่งออกได้ดังนี้

1.1 ภาระงาน:

  • งานหนัก งานเร่ง งานด่วน งานเยอะ ไม่มีเวลาพัก
  • งานซับซ้อน ท้าทาย เกินความสามารถ
  • งานไม่มีระบบ ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีเป้าหมายชัดเจน
  • งานขาด deadlines โดนกดดันจากหัวหน้า หรือลูกค้า

ตัวอย่าง:

  • พนักงานขายต้องรับมือกับลูกค้าหลายรายต่อวัน ทำงานล่วงเวลาบ่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน
  • นักบัญชีต้องปิดงบการเงินภายในสิ้นเดือน งานยุ่งยาก ซับซ้อน กดดัน

1.2 แรงกดดันจากหัวหน้า:

  • หัวหน้าคาดหวังสูง กดดันให้ทำงานหนัก ทำงานให้เสร็จเร็ว
  • หัวหน้าขี้บ่น ติเตียน ตำหนิ ไม่เคยพอใจผลงาน
  • หัวหน้าไม่รับฟัง ไม่ให้ความช่วยเหลือ ไม่ให้คำปรึกษา
  • หัวหน้ามีอารมณ์ร้อน โมโหง่าย สร้างบรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียด

ตัวอย่าง:

  • พนักงานขายถูกหัวหน้ากดดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือน
  • นักออกแบบถูกหัวหน้าตำหนิ แก้ไขงานซ้ำหลายรอบ

1.3 ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงาน:

  • ทำงานเป็นทีมไม่ราบรื่น ขาดการสื่อสาร ความร่วมมือ
  • มีปากเสียง ทะเลาะวิวาท ขัดแย้ง กับเพื่อนร่วมงาน
  • ถูกนินทา ใส่ร้าย ถูกกีดกัน โดนแกล้ง
  • มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก การเมืองในองค์กร

ตัวอย่าง:

  • พนักงานแผนกขาย แข่งขันกันเอง ไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
  • พนักงานใหม่ถูกเพื่อนร่วมงานเก่ากลั่นแกล้ง ไม่ให้ความร่วมมือ

1.4 ปัญหาส่วนตัว:

  • ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน ปัญหาสุขภาพ
  • ภาระความรับผิดชอบ ดูแลครอบครัว เลี้ยงลูก
  • ปัญหาความสัมพันธ์ อกหัก ทะเลาะกับแฟน
  • ปัญหาสุขภาพจิต วิตกกังวล ซึมเศร้า

ตัวอย่าง:

  • พนักงานมีปัญหาครอบครัว ต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วย
  • พนักงานมีหนี้สิน เงินเดือนไม่พอใช้

1.5 สภาพแวดล้อมการทำงาน:

  • สถานที่ทำงานแออัด เสียงดัง อากาศไม่ถ่ายเท
  • อุปกรณ์การทำงานเก่า ชำรุด ใช้งานไม่สะดวก
  • ระบบงานยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่มีประสิทธิภาพ
  • กฎระเบียบ ข้อบังคับ เข้มงวด เกินไป

ตัวอย่าง:

  • พนักงานออฟฟิศทำงานในห้องแอร์ที่แออัด เสียงดัง อากาศไม่ถ่ายเท
  • พนักงานโรงงานต้องใช้เครื่องจักรเก่า ชำรุด เสี่ยงต่ออันตราย

 

2. เทคนิคการจัดการความเครียด

2.1 การจัดการเวลา:

การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเครียด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดความเสี่ยงต่อการทำงานล่วงเวลา

  • วางแผนงานล่วงหน้า: จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ จัดลำดับความสำคัญ กำหนดเวลา และแบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อยๆ
  • กำหนดเวลาทำงานและพักผ่อนให้ชัดเจน: หลีกเลี่ยงการทำงานล่วงเวลา พักเบรกสั้นๆ ระหว่างวัน ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนอิริยาบถ
  • เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: เมื่อไม่สามารถรับงานเพิ่มเติมได้ อธิบายเหตุผลอย่างสุภาพ และเสนอทางเลือกอื่น

ตัวอย่าง:

คุณได้รับมอบหมายงานใหม่ แต่คุณมีงานเก่าที่ยังไม่เสร็จ

วิธีจัดการ:

  1. จดบันทึกงานทั้งหมดที่ต้องทำ
  2. จัดลำดับความสำคัญ เรียงลำดับงานจากสำคัญด่วน ไปหาน้อยด่วน
  3. กำหนดเวลาสำหรับแต่ละงาน โดยคำนึงถึงระยะเวลาที่ใช้
  4. แจ้งหัวหน้าว่า คุณมีงานเก่าที่ยังไม่เสร็จ และขอเลื่อนกำหนดส่งงานใหม่
  5. เสนอทางเลือก เช่น แบ่งงานมอบหมายให้เพื่อนร่วมงาน หรือขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม

2.2 การดูแลสุขภาพ:

ร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น

  • ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีน และไขมันดี หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลสูง และอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ เลือกกิจกรรมที่ชอบ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เล่นกีฬา หรือเต้นแอโรบิค
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา สร้างบรรยากาศการนอนหลับที่ดี
  • ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย: เช่น โยคะ นั่งสมาธิ ฟังเพลง หรือฝึกหายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และทานยาเกินขนาด

ตัวอย่าง:

คุณรู้สึกเครียด นอนไม่หลับ

วิธีจัดการ:

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา
  2. สร้างบรรยากาศการนอนหลับที่ดี ปิดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า
  3. ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ ก่อนนอน
  4. ทานอาหารมื้อเย็นเบาๆ หลีกเลี่ยงคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ก่อนนอน
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายใกล้เวลานอน

2.3 การสื่อสาร:

การสื่อสารที่ดี ช่วยลดความเข้าใจผิด สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และลดความเครียด

  • สื่อสารกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และครอบครัว อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา
  • ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ และเข้าใจมุมมองของผู้อื่น
  • เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ และแสดงออกอย่างเหมาะสม
  • ใช้คำพูดที่สุภาพ ใจเย็น และเคารพผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการพูดนินทา ติชม หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

ตัวอย่าง:

คุณมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน

วิธีจัดการ:

  1. พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างตรงไปตรงมา อธิบายปัญหา และความรู้สึกของคุณ
  2. ฟังมุมมองของเพื่อน

2.4 การขอความช่วยเหลือ:

  • เมื่อรู้สึกเครียดจนไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
  • ปรึกษาเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือครอบครัว ที่ไว้ใจได้
  • ติดต่อสายด่วนสุขภาพจิต หรือเข้ารับการบำบัด 

3. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี

สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพจิต อารมณ์ และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน องค์กรควรมีนโยบาย และแนวทางการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ดังนี้

3.1 นโยบายการจัดการความเครียด

  • องค์กรควรมีนโยบายการจัดการความเครียดสำหรับพนักงาน เช่น ให้สิทธิพนักงานลาพักร้อน ลาป่วย หรือลาเพื่อดูแลสุขภาพจิต
  • จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด เทคนิคการผ่อนคลาย และการดูแลสุขภาพจิต
  • จัดกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นกีฬา ทำสวน ฟังเพลง หรือฝึกโยคะ

ตัวอย่าง: บริษัทแห่งหนึ่งมีนโยบายให้พนักงานลาพักร้อนได้ 15 วันต่อปี และลาป่วยได้ 5 วันต่อปี บริษัทจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด เทคนิคการฝึกสมาธิ และการดูแลสุขภาพจิต จัดกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นกีฬา ทำสวน และฟังเพลง หลังเลิกงาน

3.2 สนับสนุนให้พนักงานมีกิจกรรมผ่อนคลาย

  • องค์กรควรจัดสรรพื้นที่สำหรับพนักงานพักผ่อน ผ่อนคลาย เช่น สวนหยุดพัก มุมอ่านหนังสือ หรือห้องเกม
  • สนับสนุนให้พนักงานมีกิจกรรมหลังเลิกงาน เช่น ชมรมกีฬา ชมรมดนตรี หรือชมรมศิลปะ
  • จัดกิจกรรมสันทนาการ เช่น ทัศนศึกษา งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือกีฬาสี

ตัวอย่าง: บริษัทแห่งหนึ่งจัดสรรพื้นที่สำหรับพนักงานพักผ่อน ผ่อนคลาย มีสวนหยุดพัก มุมอ่านหนังสือ และห้องเกม สนับสนุนให้พนักงานมีกิจกรรมหลังเลิกงาน เช่น ชมรมกีฬา ชมรมดนตรี และชมรมศิลปะ จัดกิจกรรมสันทนาการ เช่น ทัศนศึกษา งานเลี้ยงสังสรรค์ และกีฬาสี

3.3 ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดี

  • เน้นการสื่อสาร เปิดใจรับฟังความคิดเห็น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน
  • ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์
  • เน้นการให้รางวัล ยกย่องชมเชย และสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน

ตัวอย่าง: บริษัทแห่งหนึ่งเน้นการสื่อสาร เปิดใจรับฟังความคิดเห็น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ เน้นการให้รางวัล ยกย่องชมเชย และสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน

    ความเครียด เปรียบเสมือนศัตรูร้ายในองค์กร ส่งผลต่อสุขภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และความสัมพันธ์

    **และด้วยการนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเอง และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี จะช่วยให้คุณจัดการกับความเครียด ทำงานอย่างมีความสุข ประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จ จงดูแลตัวเอง จัดการความเครียด และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข! เพราะความเครียดนั้น

  • ความเครียดเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่เราสามารถจัดการกับมันได้
  • การมีสุขภาพจิตที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพกาย ประสิทธิภาพการทำงาน และความสัมพันธ์
  • องค์กร หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน ควรมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
  • ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และสร้างสังคมองค์กรที่ปลอดภัย ไร้ความเครียด

    ฉะนั้นรีบจัดการความเครียดซ่ะครับ  ก่อนที่ความเครียดจะมาจัดการคนในองค์กร

Tags: , , ,

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

*